วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

ไมยราบ

ไมยราบ
เรียงเรียบข้อมูลโดย กรีนเนอรัลด์ ดอทคอม
 


ไมยราบ

        ไมยราบ ภาษาอังกฤษ Sensitive plant, Sleeping grass, Shameplant ไมยราบ ชื่อวิทยาศาสตร์ Mimosa pucida L. จัดอยู่ในวงศ์ Fabaceae (Leguminosae-Mimosoideae) มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ อีกเช่น กระทืบยอด หนามหญ้าราบ (จันทบุรี), หงับพระมาย (ชุมพร), ก้านของ (นครศรีธรรมราช), ระงับ (ภาคกลาง), หญ้าปันยอด หญ้าจิยอบ (ภาคเหนือ), กะหงับ ด้านของหงับพระพาย (ภาคใต้), หญ้าปันยอบ กะเสดโคก หญ้างับ เป็นต้น โดยมีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ ซึ่งประเทศไทยได้มีการนำเข้ามาโดยกรมทางหลวงเพื่อนำมาใช่คลุมหน้าดิน

ลักษณะไมยราบ

  • ต้นไมยราบ จัดเป็นไม้ล้มลุกที่มีอายยุหลายปี มักแผ่ทอดเลื้อยตามพื้นดิน บางครั้งจะสูงถึง 1 เมตร ต้นมีน้ำตาลแดง มีขนามขนาดเล็ก และมีขนหยาบๆปกคลุมที่ลำต้น แกนก้านใบและท้องใบรวมไปถึงช่อดอก และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
  • ใบไมยราบ จัดเป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น แกนกลางรวมกับก้านใบมีความยาวประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร ส่วนใบย่อยมี 1-2 ใบ มีความยาวประมาณ 1.5-7 เซนติเมตร โดยใบย่อยจะมีอยู่ประมาณ 12-25 คู่ ลักษณะคล้ายรูปขอบขนานหรือคล้ายๆ รูปเคียวยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร
ต้นไมยราบ
  • ดอกไมยราบ ออกดอกเป็นช่อกลมสีชมพู เป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ ออกที่บริเวณซอกใบ ก้านดอกมีความยาวประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร ดอกมีจำนวนมาก ไร้ก้าน มีกลีบเลี้ยงขนาดเล็กมากประมาณ 0.1 มิลลิเมตร กลีบดอกจะคล้ายกับรูประฆังแคบ มีความยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร กลีบดอกจะมนกลม มีความยาวประมาณ 0.5-0.8 มิลลิเมตร มีเกสรตัวผู้อยู่ 4 อัน และมีรังไข่ยาวประมาณ 0.5 มิลลิกรัม


  • ผลไมยราบ มีลักษณะเป็นฝักแห้ง แบน ยาวเรียว ฝักมีหลายฝักในแต่ละช่อดอก ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ตรงและยาวประมาณ 1.5-1.8 เซนติเมตร มีขนแข็งปกคลุมตามสันขอบผล ส่วนเมล็ดมีสีน้ำตาลอ่อน เมล็ดแบนเป็นสันนูนตรงกลาง หนึ่งผลมีเมล็ดประมาณ 2-5 เมล็ด ผลหักตามรอยคอด
ไมยราบ เป็นพืชล้มลุกที่มีลักษณะพิเศษ คือ หากได้รับแรงสั่นสะเทือน ก้านและใบก็จะตอบสนองด้วยการหุบตัวลงอย่างรวดเร็ว และยังเป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูลและมีคุณสมบัติใกล้เคียงกันเช่นเดียวกับผักกระเฉด
สมุนไพรไมยราบ ในปัจจุบันได้มีการนำไปศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาต่อยอดนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวาน โดยจากงานวิจัยนี้เองก็เป็นตัวตอกย้ำภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยในสรรพคุณของไมยราบ และยังได้มีการยืนยันด้วยว่าการดื่มชาสมุนไพรตัวนี้ต่างน้ำทุกวันก็ไม่มีผลข้างเคียงหรือพิษใดๆเลย แม้กระทั่งในสัตว์ทดลองก็ไม่พบถึงอาการผิดปกติแต่อย่างใด นอกจากนี้ไมยราบ ยังมีสรรพคุณอื่นๆอีกมากมาย โดยส่วนที่นำมาใช้ก็ได้แก้ ต้น ราก ใบ และทุกส่วนของต้น (ราก ลำต้น ใบ ดอก ผล)

สรรพคุณของไมยราบ

  1. ช่วยบำรุงร่างกาย (ทั้งต้น)
  2. ต้นแห้งนำมาต้มกับน้ำกินช่วยแก้อาการอ่อนเพลียได้ (ต้น)
  3. ไมยราบทั้งต้นนำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาตากจนแห้งสนิทและนำมาต้มกินต่างน้ำ สามารถช่วยรักษาโรคกษัยได้ (โรคกษัย คือ โรคสังขารเสื่อม ซูบซีด ผอมแห้งแรงน้อย เบื่ออาหารง่าย มีอาการเจ็บปวดเมื่อยตามตัว โลหิตจาง) (ทั้งต้น)
  4. ช่วยแก้เบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในเลือด เพราะสารสกัดน้ำจากต้นและรากของไมยราบขนาน 20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมสามารถออกฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลได้เทียบเท่ากับการใช้ยามาตรฐานโทลบูตาไมด์ (Tolbutamide) ขนาด 100 มก./กก. น้ำหนักตัว โดยจะออกฤทธิ์ได้อย่างต่อเนื่องนานถึง 5 ชั่วโมง
  5. ทุกส่วนของต้นนำมาหั่นแล้วคั่วโดยใช้ไฟอ่อนๆ จะมีกลิ่นหอมสามารถนำไปชงดื่มแทนชา ช่วยลดระดับระดับคอเลสเตอรอลได้ (ทั้งต้น)
  6. ไมยราบ สรรพคุณช่วยขับโลหิต (ต้น)
  7. ช่วยแก้เด็กเป็นตานขโมย (ทั้งต้น)
  8. ช่วยแก้ตานซางในเด็กเล็ก (ทั้งต้น)
  9. ช่วยในการระงับประสาท (ราก)
  10. ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (ทั้งต้น)
  11. ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ (ทั้งต้น)
  12. ช่วยทำให้สงบประสาท (ทั้งต้น)
  13. ช่วยทำให้ตาสว่าง (ราก)
  14. ช่วยแก้อาการตาบวม ตาเจ็บ (ทั้งต้น)
  15. ช่วยแก้ไข้ออกหัด (ทั้งต้น)
  16. ช่วยแก้อาการไอ (ราก)
  17. ช่วยขับเสมหะ (ราก)
  18. ช่วยแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง (ราก)
  19. ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร (ราก)
  20. ช่วยแก้อาการบิด ท้องร่วง (ราก)
  21. ช่วยแก้กระเพาะอาหารอักเสบ (ทั้งต้น)
  22. ช่วยแก้ลำไส้อักเสบ (ทั้งต้น)
  23. ช่วยแก้ปัญหาระบบย่อยอาหารของเด็กไม่ดีได้ (ราก)
  24. ช่วยแก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ (ต้น,ทั้งต้น)
  25. ช่วยขับปัสสาวะ (ต้น,ราก,ทั้งต้น)
  26. ช่วยแก้นิ่ว ขับนิ่ว (ทั้งต้น)
  27. ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
  28. ช่วยแก้ไส้เลื่อน ด้วยการนำทุกส่วนของต้นมาต้มกิน (ทั้งต้น)
  29. ช่วยขับระดูขาว (ต้น,ทั้งต้น)
  30. ช่วยรักษาโรคปวดช่วงเวลามีประจำเดือน (ราก)
  31. ช่วยแก้ไตพิการ (ต้น,ทั้งต้น)
  32. ช่วยแก้เริม (ใบ)
  33. ช่วยแก้อาการงูสวัด (ใบ)
  34. ช่วยแก้ไฟลามป่า (ใบ)
  35. ช่วยรักษาโรคพุพอง (ใบ)
  36. ช่วยรักษาแผลเรื้อรังต่างๆ (ใบ)
  37. ช่วยแก้อาการผื่นคันตามตัว (ทั้งต้น)
  38. ช่วยแก้แผลฝี (ทั้งต้น)
  39. ช่วยรักษาแผลฝีหนอง (ใบ)
  40. ช่วยแก้อาการปวดข้อได้ (ทั้งต้น)
  41. ช่วยแก้อาการบวมตามเนื้อตามตัว (ทั้งต้น)
  42. ช่วยแก้อาการปวดหลังปวดเอว หรือจะนำมาผสมกับดอกคำฝอย ใบเตยหอม ใบหม่อน ทองพันชั่ง โดยใช้ไมยราบเป็นตวยาหลักในการต้มดื่มเพื่อสุขภาพและช่วยแก้อาการปวดหลังได้ (ทั้งต้น)
  43. ใบไมยราบนำมาตำพอกช่วยแก้อาการปวดบวมได้ (ใบ)
  44. สรรพคุณไมยราบ ช่วยแก้หัด (ทั้งต้น)
  45. ช่วยขับน้ำนม (ทั้งต้น)
  46. สารบริสุทธิ์สกัดจากต้นของไมยราบ สามารถนำมาใช้ทำเป็นโทนเนอร์เช็ดหน้าหลังอาบน้ำ เพื่อใช้ฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวและทำความสะอาดผิวหน้าได้อีกด้วย (สารสกัดจากต้น)

ประโยชน์ของไมยราบ

  • ประโยชน์ของต้นไมยราบ ดั้งเดิมก็คือการนำมาใช้ปลูกเพื่อคลุมหน้าดิน แต่ก็ยังมีประโยชน์ในด้านอีกหลากหลาย โดยมีการใช้ลำต้นไมยราบนำมาใช้ทำเป็นรั้วบ้าน ไม้ค้ำผัก หรือนำมาใช้ทำเป็นฟืน หรือใช้เผาถ่านเพื่อประกอบอาหาร รวมไปถึงการใช้ไมยราบสุมไฟให้วัวให้ควาย เพื่อขับไล่ยุง ริ้น ไร ในช่วงพลบคล่ำได้อีกด้วย
  • นอกจากนี้ประโยชน์ไมยราบด้านอื่นๆ คือการนำลำต้นของไมยราบมาดัดทำเป็นสิ่งประดิษฐ์ เช่น การทำกรอบรูป การทำเป็นกระถางต้นไม้ในรูปแบบต่างๆ เพราะต้นไมยราบเป็นไม้ที่ดัดง่าย สามารถดัดเป็นรูปทรงต่างๆได้ จะใช้ทำเป็นกระเช้าหรือกระถางใส่กล้วยไม้ หรือไม้ดอกไม้ประดับ รวมไปถึงโครงกระเป๋าต่างๆ ก็ได้เช่นกัน
แหล่งอ้างอิง : นพพล เกตุประสาท หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน, สารานุกรมพืชในประเทศไทย (The Encyclopedia of Plants in Thailand), ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้ (เต็ม สมิตินันทน์), เว็บไซต์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, เว็บไซต์มูลนิธิสุขภาพไทย, เว็บไซต์สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน),
เว็บไซต์ www.gotoknow.org (คุณอานนท์ ภาคมาลี), เว็บไซต์ jamrat.net (จำรัส เซ็นนิล)
ภาพประกอบ : เว็บไซต์ www.magnoliathailand.com (คุณ George), เว็บไซต์ the-than.com
 
 

 
 
 

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

บัวหิมะน้ำ หรือ คีเฟอร์น้ำ (kefer water)

บัวหิมะน้ำ หรือ คีเฟอร์น้ำ (kefer water)

 
 

วิธีเลี้ยงบัวหิมะน้ำ หรือ คีเฟอร์น้ำ (kefer water)


สิ่งที่ต้องเตรียม
  • บัวหิมะน้ำ 4-6 ช้อนชา
  • น้ำดื่มสะอาด 200-250 cc.
  • น้ำตาลทรายแดง 1-3 ช้อนชา
วิธีทำ
  • นำบัวหิมะน้ำล้างน้ำด้วยน้ำดื่มที่สะอาด
  • เทน้ำใส่ถ้วยเลี้ยง เทน้ำตาลทรายแดงใส่
  • คนให้น้ำตาลละลาย
  • เทบัวหิมะใส่ ปิดฝา
  • หมักทิ้งไว้ 1-4 วัน
  • ชิมดูเริ่มเปรี้ยวซ่า ตามที่ชอบแล้ว
  • นำมากรองบัวหิมะออก
  • นำน้ำที่กรองแล้วเข้าตู้เย็น เก็บไว้ดื่มเย็น ๆ จะชื่นใจ
ข้อควรระวัง
  • ห้ามใช้อุปกรณ์ทุกอย่างที่เป็นอลูมิเนียม
  • ปิดฝาแบบให้เขาหายใจได้
  • ตั้งหมักในที่มืด
  • บัวหิมะจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • คนที่เป็นเบาหวาน ต้องหมักให้นานจนความหวานหมด

หมายเหตุ
- บัวหิมะน้ำ เขาคือ จุลินทรีย์ ที่มีประโยชน์กับร่างกาย ดื่มแล้วทำให้นอนหลับสบาย ขับถ่ายของเสีย
และไม่ต้องกลัวเป็นมะเร็ง ช่วยเรื่อง สิว โรคภูมิแพ้ การไม่ย่อย ท้องผูก โรคกระเพาะอาหาร
ตับไตปัญหา ความดันเลือดสููง โรคโลหิตจาง
- สัดส่วน ตัวบัวหิมะน้ำ หรือ น้ำตาล หรือ น้ำ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม- เมื่อหมักได้ที่แล้ว ดื่มวันละ 1 แก้วก่อนอาหาร หรือ เวลามีอาการปวดท้องโรคกระเพาะให้ดื่มทันที
ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/jibbunnag





จิวไปขอพี่เป็ดมาค่ะ แฟนพี่เป็ดเขาเอามาจากพระธิเบต
แต่เขาบอกต้องเลี้ยงเกิน7วันก่อนถึงแจกคนอื่นได้
เขาแนะนำระหว่างล้างพูดว่า "อยู่เย็นเป็นสุข"ไปด้วย
จิวเพิ่งได้มาเมื่อวานนี้เองค่ะ
ขับรถไปเอามาที่บางบัวทองเลย
ด้านล่างนี้เป็นสรรพคุณของบัวหิมะ ที่จิวไปcopyตามเวปมาให้ลองอ่านกัน
------------------------------------------------------------ -------------------------------------------


บัวหิมะที่ร่ำลือกันเรื่องสรรพคุณรักษาแผลน้ำร้อนลวก พุพอง แมลงต่อย สัตว์กัด เอามาพอกหน้าแล้วหน้าสวย กินแล้วรักษาโรค
ส่วนที่ทึ่งมาแล้วถึงสรรพคุณ ประสบด้วยตัวเองขนาดเลี้ยงไม่ถึงอาทิตย์เลย
หมาที่บ้านเจอหมาจรจัดลอบกัดแผลแหวะหวะชนิดต้องต้องเดิน3ขานอนซ มเลย
เพราะเลือดไหลออกมากเป็นลิ่มเลยละ
เลยเอานมที่ใช้เลี้ยงบัวหิมะให้หมากิน ไม่กี่ชม. งง กันเลย
มันหายเดิน4ขาปกติ แถมวิ่งได้เหมือนไม่เกิดไรขึ้นเลยนะ แผลก็สมานเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

ยังไม่พอน้องเจอท่อไอเสียมอเตอไซด์ลวกเอา มันว่าโม้เลยเอามาลอง คือเอาตัวบัวหิมะนิดนึงทา
ก็ไม่นานเท่าไหร่แผลหายปวดแสบปวดร้อน เพราะปกติถ้าเจอลวกแบบนี้นะจะปวดแสบร้อนเป็นอาทิตย์เลย
เพราะบัวหิมะมีฤทธิ์เป็นยาเย็น

ปัจจุบันนี้เอามาล้างหน้า หน้าเกลี้ยงขึ้นเยอะสิวหาย ฝ้าไม่มี ผิวเนียนนุ่มขึ้น
เวลาเป็นแผลก็เอามาทาแผลก็หายปวดและแผลหายเร็ว
เอามาดื่มภูมิแพ้ชอบเป็นหวัดก็ไม่ค่อยเป็น เวลาเป็นร้อนในก็กินมันทั้งตัวนิดนึงกับน้ำบัวหิมะก็หายเป็นร้อ นใน
ที่เลี้ยงมาจัดว่าคุ้ม ประหยัดค่าครีมบำรุงผิวและค่ายาเวลาไม่สบายได้เยอะเลย

รูปล่าสุดที่เลี้ยงขนาดแบ่งไปบ้างแล้ว ขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียบ และเกาะกลุ่มกันดี




น้ำเลี้ยงบัวหิมะ เด็กผู้ใหญ่คนแก่ดื่มได้หมด เพราะแฟนเอาไปให้พี่สาว
พี่เขาก็เอาป้อนให้ลูกอายุไม่กี่เดือนกิน ผิวจะได้ดีขาวใส พี่เขากินตั้งแต่มีครรภ์แล้วด้วย

จะผสมอะไรดื่มเพื่อดับความเปรี้ยวก็ได้นะคะ ส่วนตัวเองเอามาผสมกะน้ำหวานเฮลบูบอยสีแดงดื่ม
แต่ตอนนี้ชินรสแล้วดื่มเพียวๆไม่ผสมอะไรเลย
บางคนบอกว่าดื่มก่อนอาหารจะทำให้ผอม ดื่มหลังอาหารจะทำให้อ้วน ดื่มก่อนนอนก็หลับสบายดี










การเลี้ยงและการดูแล

เมื่อได้รับมาครั้งแรก จะมีสภาพซึ่งแช่อยู่ในนมแล้ว ให้นำมากรองแยกนมออกจากเห็ด
โดยวิธีการกรองให้ใช้อุปกรณ์การกรองที่ไม่ใช่โลหะโดยเด็ดขาด
ดื่มนมที่ได้จากการกรองซึ่งประมาณ 8 ออนซ์ หลังจากนั้นให้ทำความสะอาดเห็ดโดยให้น้ำไหลผ่านจนสะอาด
บิดให้แห้งแล้วใส่ลงไปในแก้วพลาสติก
แล้วใส่นมเข้าไปประมาณ 8 ออนซ์แช่ไว้ 24 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิห้องแล้วนำมากรองเพื่อจะดื่มเหมือนดังที่ได้มาตอนแร ก

ซึ่งนมที่ได้มาขณะนี้ได้เปลี่ยนมามีรสชาติเปรี้ยวและมีคุณสมบัต ิเปรียบเสมือนยา
ดื่มทุกวันก่อนนอนเป็นเวลา 20 วันและหยุดพักการดื่มเป็นเวลา 10 วัน และค่อยดื่มต่อวนเวียนไปเช่นนี้ในช่วงเวลาที่หยุดพักเป็นเวลา 10 วัน

ณ วันนั้นบัวหิมะต้องได้รับการทำความสะอาดทุกวันเหมือนดังตอนที่เ ราทำก่อนนำไปกรอง โดยบัวหิมะประมาณ 2.5 ช้อนโต๊ะสามารถที่จะทำได้ 1 แก้ว

ข้อควรจำ
- ห้ามแช่เย็น บัวหิมะจะโตขึ้นเป็น 2 เท่าทุก ๆ 18 วัน
- ห้ามไม่ให้บัวหิมะโดนโลหะโดยเด็ดขาด
-ใช้ที่กรองพลาสติกใช้แก้วกระเบื้องห้ามใช้โลหะ
การดูแลรักษาบัวหิมะได้ดี
ให้มีความสะอาดย่อมจะทำให้สุขภาพของผู้ดื่มนมที่แช่บัวหิมะดีตา มไปด้วย เนื่องจากจะได้นมที่สะอาดและมีคุณภาพสำหรับดื่ม


สรรพคุณ
1. สร้างความสมดุลของภูมิต้านทานในร่างกาย
2. ช่วยให้ตับ, ม้ามแข็งแรง
3. ช่วยรักษากระเพาะ และลำไส้
4. ทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติ
5. ป้องกันการขยายตัวของมะเร็ง
6. ทำให้ร่างกายเป็นปกติ ลดความเครียด ช่วยบรรเทาความเหนื่อย
7. ช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ และช่วยลดคอเรสเตอรอล
8. ช่วยละลายนิ่ว
9. สร้างสารปฏิชีวนะในร่างกาย เพื่อช่วยให้การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
10. รักษา ช่วยให้ตับ และระบบการขับถ่ายดีขึ้น
11. ประกอบด้วยสารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ


ความเป็นมาของสรรพคุณ
อาจารย์ทางด้านยาจากมหาวิทยาลัยพยาบาล GLEIVITZ ในโปแลนด์ ได้นำมาสู่ยุโรปจากเอเชีย โดยในขณะที่ทำงานที่อินเดีย และธิเบต

เขาป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ พระที่ธิเบตได้นำมาให้เขากินเพื่อรักษาอาการป่วยของเขา หลังจากนั้น 18 เดือนเขาสามารถหายป่วย
ก่อนจะเดินทางกลับเขาจึงขอเห็ดนี้จากพระรูปนั้น พระรูปนั้นจึงได้ให้เขามาเป็นของขวัญ

คุณภาพของนมเปรี้ยว (บัวหิมะ)
pH = 3.7
ความเป็นกรด (% กรดแลคติก) = 1.6%
Reducing sugar (แลคโตส กูลโครส หรือ กาแลคโตส) = 1.02%
โปรตีน = 3.2%

ขอร้องให้ปฏิบัติ 3 ข้อ ต่อไปนี้คือ
1.เลี้ยงบัวหิมะให้ดี จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง
2.ห้ามจำหน่ายเด็ดขาด
3.ถ้าเลี้ยงแล้วเจริญเติบโตมีมากเกินความต้องการ โปรดแจกจ่ายให้ญาติและมิตรสหาย

วิธีเลี้ยงบัวหิมะ
ใช้นมสดรสจืด 1 กล่อง ประมาณ 250 c.c (8 1/2 ออนซ์) ไม่ต้องแช่ตู้เย็น
1.แช่บัวหิมะไว้ในนมสด 250 c.c นานประมาณ 24 ชั่วโมง บัวหิมะจะเปลี่ยนนมสดให้เป็นโยเกิร์ต
2.ใช้กระชอนกรองน้ำนมนั้นมาดื่ม (ควรดื่มทันที ไม่ควรตั้งทิ้งไว้นาน)
3.ดื่มก่อนนอนขณะท้องว่าง โดย ไม่ดื่มรวมกับเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ให้ดื่มติดต่อกันนาน 20 วัน แล้วให้หยุดพัก 10 วัน
4.ล้างบัวหิมะด้วยน้ำสะอาดเบาๆ จนสะอาด (หากจำเป็นอาจใช้มือสัมผัสเบาๆได้) แล้วเทคืนสู่ภาชนะเดิม แช่ด้วยนมสดใหม่ 250 c.c ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง
5.ระหว่างพัก 10 วัน ให้ล้างบัวหิมะทุกคืน เติมนมสดรสจืดฯ ทุกครั้ง (ปฏิบัติเช่นเดียวกับข้อ 4.
6.ให้เลี้ยงบัวหิมะในภาชนะแก้ว หรือพลาสติกเท่านั้น ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะทุกชนิด เก็บในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ ห้ามเก็บในอุณหภูมิที่เย็นจัด เพราะนมจะมีรสเปรี้ยวมาก
7.บัวหิมะจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 2 เท่า ภายในเวลา 18 วัน (ประมาณที่พอเหมาะคือ สองช้อนครึ่ง)

เอาผ้าบางปิดฝากันฝุ่นแมลงก็ได้


ต้องเปลี่ยนนมทุกวัน เพราะ ถ้าไม่เปลี่ยนความเปรี้ยวของนม มันจะไปกัดตัวมันได้ใช้นม1 กล่องต่อการเปลี่ยนนม 1 ครั้ง

ตัวบัวหิมะกินได้ ถ้ามันเยอะเกินไป แต่ถ้าจะให้ดี อย่ากินเลยมันโตยาก

ถ้าบัวหิมะตาย นมจะไม่ค่อยเปลี่ยนสภาพ คือไม่ค่อยหนืด ทั้งที่มีปริมาณมาก
และตัวบัวหิมะจะแข็งๆ ถ้าเคยกินจะรู้ว่านมที่ได้จะไม่เหมือนเดิม ปกติถ้าตัวบัวมากไป นมจะเปรี้ยวมาก เพราะฉนั้น ต้องแจกจ่าย หรือเอาออกบ้าง

ความเปรี้ยวจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้ในการหมักเป็นหลัก
ระยะเวลาในการหมักที่เหมาะสม คือ 12 - 72 ชั่วโมง ยิ่งหมักนานเท่าไหร่ก็จะยิ่งเปรี้ยวมากเท่านั้น ถ้าเปรี้ยวเกินไป ก็ลองลดเวลาที่หมักดู หรือจะลองผสมกับน้ำผลไม้ก็ได้ อัตราส่วน น้ำผลไม้ 2 ส่วนต่อ Kefir (นมที่กรองแล้ว) 1 ส่วน

อ้อ.. ถ้าเอา Kefir แช่ไว้ในตู้เย็นหลังจากที่กรองแล้ว แล้วค่อยมาดื่ม ก็จะทำให้เปรี้ยวน้อยลงด้วย
อีกเหตุผลนึงก็คือ ปริมาณของบัวหิมะต่อนมมากเกินไป ลองแบ่งบัวหิมะออก หรือเติมนมให้เยอะขึ้นก็ได้

ลักษณะก่อนกรอง มันจะดูเหมือนโยเกิร์ต จะมีกลิ่นเปรี้ยวอยู่แล้ว แต่จะไม่เหมือนกลิ่นเปรี้ยวแบบนมเสีย คือ ถึงมันจะเปรี้ยว แต่มันไม่ได้เสีย ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

เปรี้ยวแค่ไหนก็ทานได้ ขึ้นอยู่กับว่า ตัวเราจะทนทานได้รึเปล่าเท่านั้นเอง เลี้ยงไว้ที่ไหนก็ได้ แต่ว่าเลี้ยงไว้ในอุณหภูมิห้องจะดีที่สุด

บัวหิมะกิน lactose ที่อยู่ในนมเป็นอาหาร แล้วก็จะปล่อยอากาศออกมา เลยเห็นเป็นฟองๆ เป็นเรื่องปกติ นมไม่ได้เสีย




คำแนะนำ

1. บัวหิมะธิเบต หรือ คีเฟอร์ เป็นพืชตระกูลเดียวกับ “เห็ด” และ “ยีสต์”

2. นมหรือโยเกิร์ตที่ได้จากการเพาะเลี้ยงบัวหิมะนี้ มีรสและกลิ่นเปรี้ยว ไม่ใช่นมบูด แต่มีกระบวนการย่อยสลายเหมือนกับการบูดของอาหาร
ต่างกันที่จุลินทรีย์ที่ใช้หมักบัวหิมะนี้ เป็นจุลินทรีย์ที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย กินแล้วไม่ท้องเสีย

3. ตอนที่ได้รับบัวหิมะมาในวันแรกๆ (ในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์แรก) ปริมาณจะยังมีน้อยอยู่ ให้ใส่นมแค่พอท่วมปิดหมด ไม่ต้องใส่นมหมดกล่อง
เพื่อให้เมล็ดบัวหิมะได้มีเวลาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ และไม่บอบช้ำจนเกินไป

4. ศึกษาจากเว็บต่างประเทศแล้ว บอกว่า จะดื่มทุกวันก็ได้ ไม่ต้องเว้น 10 วัน (อันนี้แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน)

5. นำโยเกิร์ตที่ได้มาพอกหน้า ประมาณ 30 นาที (หรือรอจนหน้าแห้ง) ทุกคืนก่อนนอน แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า (ไม่ต้องล้างด้วยสบู่) จะทำให้หน้าเนียน ขาว ใสขึ้น รู้สึกผิวเรียบเนียนละเอียดขึ้น สิวก็หาย
เนื่องจากโยเกิร์ตบัวหิมะมีคุณสมบัติช่วยรักษาแผลและสมานผิว

6. บางครั้งหากใช้โยเกิร์ตบัวหิมะพอกหน้าแล้วรู้คันยิบๆในบางจุด นั่นไม่อันตราย แต่แสดงว่าผิวหนังบริเวณนั้น เป็นสิว แห้งลอก
ซึ่งอาการคันนี้หมายถึงการที่กรดผลไม้และวิตามินต่างๆกำลังเข้า ไปช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และสมานผิวให้หายเป็นปกติ เมื่อสิวหายแล้วอาการคันนี้จะหมดไป

7. ถ้าหากระชอนกรองที่เป็นพลาสติกไม่ได้ แนะนำให้ใช้กระชอนช้อนปลา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.5 นิ้วกำลังดี
(ราคาประมาณ 8 – 12 บาท) โดยเวลาใช้ ให้ระวัง ห้ามโดนบริเวณที่เป็นลวดเหล็กเด็ดขาด

8. ไม่จำเป็นต้องล้างบัวหิมะด้วยน้ำทุกวัน เพราะคลอรีนจะทำลายการเจริญเติบโตของบัวหิมะ

ไม่จำเป็นต้องล้างน้ำเลย พอกรองโยเกิร์ต ออก ก็เทนมใหม่ ใส่ต่อได้เลย (แต่ควรล้างภาชนะที่ใส่ด้วยนะ) จะทำให้บัวหิมะโตเร็วมาก
เหมือนกับการเลี้ยงปลา ที่ต้องใส่น้ำเดิมของมันลงไป และการย้ายต้นไม้ ก็ต้องใส่ดินเดิมของมันลงไปด้วยเช่นกัน ถ้าหากต้องการล้างจริงๆ ให้ใช้น้ำกลั่น หรือน้ำที่ปลอดสารคลอรีน

9. หากต้องการหยุดใช้ หรือไม่อยู่บ้าน 2-3 วัน ให้ใส่นมแค่พอปิดท่วมเม็ดบัวหิมะ แล้วแช่ตู้เย็นช่องแช่เย็นธรรมดาไว้

10. หากต้องการหยุดใช้ หรือไม่อยู่บ้าน เกินกว่า 4-5 วันขึ้นไป ให้ล้างบัวหิมะด้วยน้ำให้สะอาด ผึ่งให้แห้งหมาดๆ ไม่ต้องใส่นม แล้วแช่ช่องฟรีซ (ช่องแช่แข็ง)ในตู้เย็น เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของบัวหิมะชั่วคราว และเป็นการป้องกันไม่ให้เสียด้วย

11. หากแช่เย็นแล้ว เมื่อกลับมาใช้อีกครั้ง ให้นำไปล้างน้ำเพื่อให้หายแข็ง (ใช้น้ำอุ่นนิดๆได้ แต่ห้ามใช้น้ำร้อนเด็ดขาด) ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิอุ่นขึ้น แล้วค่อยใส่นม

12. นมโยเกิร์ตที่กรองออกมาแล้ว ที่ดีที่สุดควรดื่มทันที แต่ถ้าอยากเก็บไว้ดื่มตอนหลัง สามารถนำไปแช่เย็นเก็บไว้ได้ 2-3 วัน

13. หากใครกินแล้วท้องไส้ปั่นป่วน นั่นไม่ได้แปลว่าคุณแพ้บัวหิมะ
แต่แสดงว่าร่างกายของคุณมีโรคหรือสารพิษตกค้าง ซึ่งอาการปั่นป่วนคืออาการที่บอกว่า บัวหิมะนี้กำลังช่วยให้ร่างกายคุณขับไล่สารพิษนั้น
เพื่อให้รู้สึกดีขึ้นให้ลดปริมาณการกินในช่วงแรกไปก่อน เพราะร่างกายของแต่ละคนอาจต้องใช้เวลาปรับตัวไม่เท่ากัน


*มีสรรพคุณหลักคือ รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ตามร่างกาย อีกทั้งยังสามารถรักษาผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็น ฝ้า ตกกระ กลาก เกลื้อน แมลงสัตว์กัดต่อย รวมไปถึง ฮ่องกงฟุต และริดสีดวงทวาร

*เมื่อทาแล้วมันจะรู้สึกเย็นๆ
แต่จะต้องใช้เวลาประมาณ หนึ่งอาทิตย์นะค่ะถึงจะเห็นผล คือช่วงแรกจะมีอาการเป็นเม็ดสีแดงๆขึ้นบริเวนใบหน้าและบริเวนที ่ทา จากนั้นจะหายไปเองโดยเราจะต้องทาต่อเนื่องหนึ่งอาทิตย์ไม่ต้องแ กะหรือเกาใด้ๆทั้งสิ้น วิธีที่ใช้เหมือนเรานวดหน้า

*นาน ๆ ไปมันจะคล้าย ๆ ดอกกะหล่ำเลย แต่ว่านิ่ม ๆ เหมือนเห็ดหูหนู กลิ่นเหมือนนมธรรมดา แต่ว่ารสชาติเปรี้ยว

*บัวหิมะ คือ ครีมที่ใช้ทาแผลผุผองจากความร้อน เช่นไฟลวก น้ำร้อนลวก ผื่นต่างๆ ริดสีดวง ฯลฯ ที่ทำให้คนไทยรู้จักเนื่องมาจากคราวเกิดรถแก๊สคว่ำที่ถ.เพชรบุร ีมีคนถูกไฟลวกจำนวนมาก ทางจีนได้นำยานี้มาให้ทา ปรากฏว่าอาการแผลไฟไหม้ดีขึ้น
ได้ยินมาว่าทานบัวหิมะแล้วจะทำให้มีลูกง่าย



ควรใช้นมชนิดใด?

1.1 ชนิดของนมที่ดีที่สุด คือ นมแพะ เพราะนมแพะสามารถย่อยและดูดซึมได้ง่ายกว่านมวัว และค่อนข้างมีปัญหาการแพ้น้อยกว่า นมแพะมีความสมดุลกับร่างกายมนุษย์มากกว่านมแบบนั้นหายาก แต่ก็น่าจะลองหาซื้อดู อาจจะมีราคาแพง แต่ถ้าเทียบกันในระยะยาว ก็ถือว่าเป็นการลดค่ายาค่าหมอในการรักษาโรคในอนาคตได้ เพราะคุณจะได้รับผลคุ้มค่ากว่าเงินที่เสียไป

2. สามารถใช้นมอื่นๆทำโยเกิร์ตคีเฟอร์ได้หรือไม่?

2.1 นมทุกชนิดใช้ทำโยเกิร์ตคีเฟอร์ได้ เช่น นมจากสัตว์ (แพะ, วัว, แกะ ฯลฯ), นมจากพืชตระกูลถั่ว (ถั่วเหลือง, ถั่วแดง ฯลฯ), นมจากพืชตระกูลข้าว (ข้าว, ข้าวบาร์เล่ย์ ฯลฯ), นมจากพืชตระกูลถั่วเปลือกแข็ง (อัลมอน, มะพร้าวหรือกะทิ ฯลฯ), นมจากพืชตระกูลเมล็ดเล็ก (ป่าน, ฟักทอง, งา ฯลฯ) แต่นมที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ นมวัว, นมแพะ และนมถั่วเหลือง

2.2 ผู้เขียนเคยลองใช้นมถั่วเหลืองทำโยเกิร์ตคีเฟอร์ ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์จึงปรับสภาพได้ หลังจากนั้นผู้เขียนจึงเก็บเมล็ดคีเฟอร์ไว้ส่วนนึงเพื่อทำโยเกิ ร์ตคีเฟอร์จากนมถั่วเหลืองโดยเฉพาะ คิดว่ารสชาติอร่อยดี แต่แตกต่างกับโยเกิร์ตคีเฟอร์ทั่วๆไป อย่างสิ้นเชิง

3. ฉันจะทำโยเกิร์ตคีเฟอร์โดยใช้เครื่องดื่มชนิดอื่นๆได้หรือไม่?

A3.1 ทำได้แน่นอน เราสามารถทำคีเฟอร์ได้โดยใช้เครื่องดื่มที่ไม่ใช่นมได้หลากหลาย ชนิด แต่เครื่องดื่มนั้นๆจำเป็นจะต้องมีส่วนประกอบของน้ำตาลเพื่อให้ เป็นอาหารแก่คีเฟอร์ด้วย

คีเฟอร์ที่ทำจากน้ำผลไม้หรือน้ำที่มีรสหวานอื่นๆ เรียกว่า “คีเฟอร์น้ำ” คีเฟอร์ต้องการระยะเวลาในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะใหม่ๆ ทดลองทำคีเฟอร์ด้วยน้ำนมถั่วเหลืองยังต้องใช้เวลากว่า 1 สัปดาห์ในการปรับตัวเลย เพราะฉะนั้นคีเฟอร์แบบน้ำ คงยิ่งต้องใช้เวลามากกว่านั้นอีก ส่วนวิธีการเริ่มเปลี่ยนจากนมเป็นน้ำผลไม้หรือน้ำหวาน

ให้ทำตามวิธีเหมือนกับตอนที่คีเฟอร์เพิ่งถูกขนส่งมาจากระยะทางไ กลๆ คือ ใส่น้ำผลไม้หรือน้ำหวานในปริมาณน้อยๆก่อน ในช่วงเริ่มต้น

4. จะเปรียบเทียบคุณค่าของแบคทีเรียและยีสต์ในคีเฟอร์แบบน้ำ กับคีเฟอร์ที่ผลิตออกขายทั่วไปได้อย่างไร

4.1 โดยคีเฟอร์แบบน้ำ (น้ำผลไม้หรือน้ำหวาน) จะมีแบคทีเรียกรดแลคติค 13 ชนิด, สเตร็ปโต และ แลคโตค็อคซี 5 ชนิด, ยีสต์ 7 ชนิด - รวมทั้งหมด 25 พันธุ์

4.2 เมื่อเปรียบเทียบกับคีเฟอร์แบบใช้นม ซึ่งมี แลคโตบาซิลี 18 สายพันธุ์, สเตร็ปโต และ แลคโตค็อคซี 9 ชนิด, แอคเซโทแบคเตอร์ 2 ชนิด, ยีสต์ 12 ชนิด – รวมทั้งสิ้น มีแบคทีเรียและยีสต์ 41 สายพันธุ์

4.3 สรุปแล้ว ทั้งคีเฟอร์แบบน้ำ และแบบนม ต่างก็มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่คีเฟอร์แบบนมมีจุลินทรีย์หลากหลายชนิดกว่า แต่ทั้ง 2 แบบ ต่างก็มีส่วนสำคัญในกระบวนการเผาผลาญอาหารของมนุษย์เช่นกัน

4.4 โดยมาก คีเฟอร์แบบนมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้นมสัตว์ จึงมีความสมดุลกับร่างกายของมนุษย์ได้มากกว่า แต่อย่างไรก็ต้องไม่ลืมคำนึงคนที่รับประทานมังสวิรัติด้วย ถือเป็นกรณียกเว้น ว่าไม่อาจดื่มคีเฟอร์จากนมได้

5. จะเปรียบเทียบคีเฟอร์ กับโยเกิร์ต และบัตเตอร์มิ้ลค์ อย่างไร?

5.1 อีกครั้ง ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว คีเฟอร์มีคุณประโยชน์มากกว่าโยเกิร์ตและบัตเตอร์มิ้ลค์แน่นอน เพราะคีเฟอร์มีจุลินทรีย์ถึง 41 สายพันธุ์ ในขณะที่โยเกิร์ตมีเพียงแค่ 4 ชนิด และเพียง 2 ชนิดในบัตเตอร์มิ้ลค์

คีเฟอร์ที่เพาะเลี้ยงในนมจะมีสีขาวเหมือนนม ส่วนคีเฟอร์ที่มีสีอื่นๆ ขึ้นอยู่กับสีของน้ำที่นำมาใช้เพาะเลี้ยงนั่นเอง ซึ่งความยืดหยุ่น และความหนาแน่นก็จะต่างกันไปด้วย

3: เป็นที่น่าประหลาดใจมาก คีเฟอร์สามารถรวมตัวเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนได้ และสร้างเซลส์ผนังของตัวเองขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น หากคีเฟอร์ถูกแยกหรือทำให้ฉีกขาดออกจากกัน มันก็ยังสามารถรักษาตัวเองได้อีกด้วย




Q: หากเมล็ดคีเฟอร์ของฉันเล็กมาก จะผิดปกติไหม
A: ไม่ผิดปกติ เป็นธรรมชาติ มันอาจมีได้หลายขนาด ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม


Q: เมล็ดคีเฟอร์ของฉันมันใหญ่เกินไป จะตัดมันเป็น 2 ส่วนได้หรือไม่
A: ห้ามตัดคีเฟอร์เด็ดขาด เพราะจะเป็นการทำร้ายโครงสร้างของมัน หากต้องการแบ่งให้เล็กลง ทำได้โดยการ ใช้มือดึงมันออกจากกันเบาๆได้ เพราะจะไม่เป็นการทำร้ายโครงสร้างของมัน มันจะยังมีสภาพเดิมที่ดีอยู่ เพียงแต่เล็กลงเท่านั้น


Q: คีเฟอร์ของฉันมันดูนิ่มๆและพองบวมเกินไป
A: บางครั้งคีเฟอร์อาจเหลวเละ ดูอืดบวม และไม่เป็นลักษณะแบบยางยืดเช่นเคย นั่นแสดงว่ามันไม่มีความสุข มันคงได้รับการดูแลและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น อุณหภูมิที่ผิดปกติ ปริมาณนมที่ใส่ เยอะเกินไป

ให้คุณเริ่มปฏิบัติกับมันเหมือนในครั้งแรกๆที่คุณเพิ่งได้รับมั นมาใหม่ เหมือนกับคีเฟอร์ที่เพิ่งผ่านการขนส่งหรือเดินทางมาจากที่ไกล

ขั้นแรก ให้ย้ายมันไปสู่ภาชนะใหม่ที่สะอาดหลังจากใส่นมใหม่แล้ว นำทั้งภาชนะไปแช่ในน้ำอุ่น (อย่าใช้น้ำที่ร้อนมาก เพราะมันจะกลายเป็นการฆ่าคีเฟอร์) นั่นจะได้ประโยชน์ 2 ทาง คือ ได้อุ่นนม (หากนมนั้นเพิ่งแช่ตู้เย็นมา) และเป็นการปรับอุณภูมิคีเฟอร์ให้สัมพันธ์กับอุณหภูมิห้องด้วย

Q: คีเฟอร์ของฉันมันกลายเป็นแผ่นๆ (ไม่เป็นเม็ดกลมเหมือนตอนแรก)
A1: จริงหรือ หากคีเฟอร์ของคุณกลายเป็นลักษณะแผ่นๆเหมือนในตำนาน (ลักษณะคล้ายเห็ดหูหนูขาว) หายากมากๆ แต่มันไม่ผิดปกติ เกิดจากการแผ่ขยายปกคลุมเมล็ดคีเฟอร์เล็กๆให้เป็นแผ่นเดียวกัน ในรูปทรงที่แปลกออกไป


แบบครีมที่ทำสำเร็จขายให้ทาผิว
บัวหิมะของคังเซนซิ ที่ส่วนมากเค้าเรียกกันว่าจิวฟูอ่ะ ราคากระปุกเล็กประมาณ 940 บาท (ราคาสมาชิกน่ะ) ส่วนกระปุกใหญ่ ประมาณ 1,600 กว่าๆ แต่เราใช้ทาหน้าทาแล้วจะเย็นๆๆ

ถ้าอยากได้ของแท้จริงๆจะคงต้องฝากคนไปจีนซื้อเพราะส่วนใหญ่โปรแ กรมจะพาไปที่โรงงานด้วย ราคาเมื่อ 2 วันก่อนประมาณ เจ็ดร้อยกว่าบาท

ซื้อที่จีนราคา 250 หยวน แต่ถ้าซื้อ10กระปุกจะเหลือ230หยวน ร้านที่ขายจะเป็นของแท้จะเป็นของรัฐบาลจีน ซึ่งมีอยู่ประมาณ12 สาขาทั่วประเทศจีนตามเมืองใหญ่เช่น คุนหมิง เซี้ยงไฮ้ ฯลฯ ถ้าไม่ใช่ร้านของรัฐบาลจีน ไกด์เขาไม่แนะนำให้ซื้อเพราะของปลอมเยอะมาก ถ้าสนใจเวลาที่คุณไปเที่ยวจีนให้แจ้งไกด์จีนได้เขาจะพาไปซื้อแล ะที่ร้านของเขาจะเป็นโรงงานอยู่ด้วยและมีโชร์สรรพคุณของตัวยาให ้เราดูด้วย
1. กล่องตอนนี้เปลี่ยนใหม่แล้ว เมื่อก่อนสีม่วง
2. ตราสัญลักษณ์จะมีใบไม้ 3 ใบ ถ้าของปลอมจะมี 2 ใบ
3. สีของครีม ขาว ไม่ใช่สีเหลืองครีม
4. ทาแล้วเย็นๆค่ะ เย็นนานด้วย

ตอนนี้ที่จิวมีแล้ว..ถ้าจะนับก็คือเลี้ยงวันนี้แล้ววันแรก
แล้วพอครบ7วัน ก็สามารถแบ่งบันให้คนที่สนใจได้

แต่ด้วยที่เขาว่ากันว่า 18 วัน ปริมาณของบัวหิมะจะเพิ่มขึ้น1เท่า
(ตอนนี้มีประมาณ 2ช้อนชา อีก18วันน่าจะแบ่งได้ถึง2คน)
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.ladysquare.com/forum_posts.asp?TID=15675
 

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

เหงือกปลาหมอ

เหงือกปลาหมอ


รูปจาก wikipedia
 



สมุนไพรแก้โรคผิวหนังได้ทุกชนิด


     ในตำรายาไทยกล่าวว่า เหงือกปลาหมอสามารถแก้โรคผิวหนังได้ทุกชนิด
ในเมื่อเหงือกปลาหมอมีสรรพคุณเด่นแก้น้ำเหลืองเสียได้ โรคผิวหนังต่างๆ แม้แต่
โรคอีสุกอีใส ที่เกิดจากเชื้อไวรัสก็จะบรรเทาเบาบางลง
ในกรณีโรคผิวหนังพุพองจากเชื้อไวรัสเอดส์ แม้จะรุนแรงกว่าโรคผิวหนังทั่วไป แต่เมื่อใช้เหงือกปลาหมอเป็นทั้งยากินและต้มน้ำอาบติดต่อกันเป็นระยะเวลานานกว่า 3 เดือนขึ้นไป แผลพุพอง ก็จะบรรเทาเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนังด้วย

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acanthus ebracteatus Vahl
ชื่อพ้อง : Acanthus ilicifolius L.
ชื่อสามัญ : Sea Holly
วงศ์ : ACANTHACEAE
ชื่ออื่น : แก้มหมอ แก้มหมอเล จะเกร็ง นางเกร็ง อีเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง สูง 1-2 เมตร ลำต้น มีและใบมีหนาม ใบหนามแข็งมีขอบเว้า และมีหนามแหลม ใบออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ดอกออกเป็นช่อตามยอด กลีบดอกสีขาวอมม่วง มี 4 กลีบแยกจากกัน ผลเป็นฝักสีน้ำตาล มี 4 เมล็ด ชอบขึ้นตามชายน้ำ ริมฝั่งคลองบริเวณปากแม่น้ำ
เหงือกปลาหมอมีสรรพคุณมากมาย เช่น
- ราก ขับเสมหะ แก้อัมพาต เป็นยาอายุวัฒนะ แก้หืด แก้ไอ รักษามุตกิต
- รากและต้น แก้พิษไข้หัวให้ผื่นคัน แก้โรคผิวหนัง แก้ฝีหรือแผลเรื้อรัง แก้พิษฝีดาษ เป็นยาอายุวัฒนะ
- ต้น เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ปวดศรีษะ แก้โรคผิวหนัง เป็นยาตัดรากฝี แก้ฝี ถอนพิษ แก้พิษฝีดาษ รักษาแผลเรื้อรัง แก้ประดง แก้ลมพิษ
- เปลือกต้น แก้โรคผิวหนังผื่นคัน แก้พิษฝี แก้พิษเลือด
- ใบ แก้ปวด รักษาปอดบวม รักษาแผลอักเสบ รักษาโรคไขข้ออักเสบ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเสมหะ แก้ไข้ จับหนาวสั่น รักษาโรคผิวหนัง แก้คัน บำรุงประสาท รักษากลากเกลื้อน
- ผล ขับโลหิตระดู แก้ฝีตานซาง ถอนพิษดี
- เมล็ด ขับน้ำเหลืองเสีย
- ทั้งห้า แก้พิษฝี แก้พิษกาฬ แก้ไข้หัว แก้โรคผิวหนังผื่นคัน แก้ประดง แก้ธาตุไม่ปรกติ แก้มะเร็ง แก้โรคลม แก้เสียงแหบแห้ง ทำให้เจริญอาหาร ทำให้เลือดลมเดินสะดวก เป็นยาอายุวัฒนะ
ไม่ระบุส่วนที่ใช้ ตัดรากฝีทั้งปวง ฟอกโลหิต ฟอกน้ำเหลือง ดับพิษไข้ แก้โรคกระษัย ไตพิการ ขับปัสสาวะ

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา : ยับยั้งการสร้าง leukotriene B4 ต้านการก่อมะเร็ง ยับยั้งเอนไซม์ aniline hydroxylase ต้านการก่อกลายพันธุ์

โรคภูมิแพ้ :
โรคภูมิแพ้ในสมัยก่อนมักจะเรียกว่าโรคน้ำเหลืองเสีย คือจะมีผื่นขึ้นบ่อยๆ อะไรนิดอะไรหน่อยก็เป็นตุ่ม รวมถึงการเป็นฝีต่างๆ ง่ายด้วย ในขณะที่โรคภูมิแพ้ในปัจจุบันจะรวมอาการเป็นหวัด คัดจมูก ไอ จาม หอบหืด เข้าไปด้วย

เรื่องน้ำเหลืองเสียโรคนี้บ้านเราในสมัยก่อนนิยมใช้สมุนไพรตัวหนึ่งคือ ต้นเหงือกปลาหมอ ใครที่มีปัญหาผิวหนัง พวกผดผื่นคัน ผื่นขึ้นเกาแล้วมีน้ำเหลือง มีไข้เป็นผื่นหรือเป็นฝีบ่อยๆ เขาจะเลือกใช้เหงือกปลาหมอมาต้มทั้งกินทั้งอาบ ไม่เกินเจ็ดวันหาย ถ้ายังกลับมาเป็นใหม่ก็ต้องใช้วิธีปั้นเป็นเม็ดลูกกลอน หรือใส่แคปซูลกินไปเรื่อยๆ อย่างน้อย 3 เดือน จนกว่าจะหายขาด ในรายที่เป็นฝี ต้องใช้วิธีกิน จะต้มกินหรือปั้นเป็นลูกกลอน หรือใส่แคปซูลก็ได้ สมัยก่อนยังนิยมใช้เหงือกปลาหมอเป็นยาอายุวัฒนะ โดยบดเป็นผงละลายน้ำผึ้งกิน
นอกจากนี้เหงือกปลาหมอยังมีสรรพคุณ แก้หวัด แก้หอบหืด ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ ริดสีดวงทวาร จนมีคนกล่าวว่าเป็นสมุนไพรรักษาได้สารพัดโรค
ที่มา : มูลนิธิสุขภาพไทย
 

ลักษณะทั่วไป

ต้น

        เป็นพืชที่มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม มีความสูงถึง 1.5 เมตร [3]ลำต้นของพืชชนิดนี้จะมีลักษณะแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ถ้าเป็นต้นที่เจริญเติบโตตามธรรมชาติหรือไม่มีการตัดออกไป จะมีลักษณะของลำต้นตั้งตรงพุ่งสูงขึ้น แต่ถ้ามีการตัดออกนำไปใช้ประโยชน์บ้างก็จะแตกเป็นพุ่มออกมาใหม่

ใบ

        ใบจะมีลักษณะแข็ง มีหนามคมอยู่ริมขอบใบและปลายใบ ผิวใบเรียบมันเนื้อใบเหนียวแข็ง

ดอก

        ออกที่ปลายกิ่ง มีลักษณะของดอกเป็นดอกช่อตั้งตรง มีสีม่วง สีฟ้า หรือสีขาว มีกลีบรองดอก 4 กลีบ บริเวณของกลางดอกนั้นจะมีเกสรของตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่

ผล

        เป็นฝักรูปไข่หรือทรงกระบอก

สรรพคุณ

  • ราก : สรรพคุณช่วยขับเสมหะ เป็นยาอายุวัฒนะ จากเว็บ [4]แก้หืด แก้อัมพาต บำรุงประสาท รักษามุตกิดระดูขาว
  • ต้น : รสเค็มกร่อย สรรพคุณแก้ปวดศีรษะ ช่วยถอนพิษ แก้ลมพิษ แก้พิษฝีดาษ ถ้าใช้ทาจะช่วยโรคเหน็บชาได้
  • ใบ : รสเค็มกร่อยร้อน สรรพคุณช่วยรักษาแผลอักเสบ แก้โรคผิวหนัง แก้ไข้ แก้ปวดต่างๆ รักษากลากเกลื้อน ใช้นำคั้นจากใบนำมาทาศีรษะ จะช่วยในการบำรุงรากผม
  • ผล : รสเผ็ดร้อน สรรพคุณช่วยถอนพิษ ขับโลหิต
  • เมล็ด : รสเผ็ดร้อน สรรพคุณช่วยขับน้ำเหลืองที่เสีย ขับพยาธิ ปิดพอกฝี
ใช้เหงือกปลาหมอทั้ง 5 (ราก,ต้น,ใบ,ผล,เมล็ด) มีสรรพคุณช่วยแก้พิษฝี แก้มะเร็ง ช่วยในการเจริญอาหาร ช่วยให้เลือดลมปกติ เป็นยาอายุวัฒนะ

การใช้ตามภูมิปัญญาท้องถิ่น





  • ใบและต้นสดประมาณ 3-4 กำมือนำมาสับต้มน้ำอาบช่วยรักษาแก้ผื่นคัน ใช้เป็นประจำ 3-4ครั้ง
  • ต้นและใบสด ประมาณ 1 กำมือ วิธีแรก นำมาบดให้ละเอียด พอกตรงบริเวณที่เป็นฝี วิธีที่สอง นำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำให้ท่วมต้มน้ำให้เดือดเป็นเวลา 10 นาทีดื่มกินแต่น้ำ ครั้งละ 1/2-3/4 แก้ว วันละ 3 ครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร เป็นอย่างน้อย 2-3 อาทิตย์
  • นำทั้งต้นมาตำผสมกับขิงช่วยแก้ไข้หนาวสั่น
  • นำทั้งต้นมาตำผสมกับขมิ้นอ้อยและน้ำมันช่วยรักษาโรคริดสีดวง
  • นำทั้งต้นมาตำผสมกับน้ำมันงา - น้ำผึ้ง ช่วยรักษาประจำเดือนมาผิดปกติ
  • นำทั้งต้นมาตำผสมกับพริกไทยและคลุกเคล้ากับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ โดยใช้อัตราส่วน 2:1
  • นำทั้งต้นมาตำผสมกับหัวสามสิบ ในอัตราส่วน 2:1 ใช้รักษาสมานแผล
  • นำทั้งต้นมาบดผสมกับชะเอมเทศ นำมาละลายในน้ำเพื่อบริโภคแก้อาการเจ็บหลังเจ็บเอว

  • ขอขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia

    """""""""""""""""""

    เหงือกปลาหมอ

    เหงือกปลาหมอ ชื่อสามัญ Sea holly, Thistleplike Plant เหงือกปลาหมอ ชื่อวิทยาศาสตร์ Acanthus ebracteatus Vahl จัดอยู่ในวงศ์ Acanthaceae มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ อีกเช่น แก้มหมอ (สตูล), แก้มหมอเล (กระบี่), อีเกร็ง (ภาคกลาง), นางเกร็ง จะเกร็ง เหงือกปลาหมอน้ำเงิน เป็นต้น โดยต้นเหงือกปลาหมอนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ที่เป็นดอกสีม่วง (พบมากทางภาคใต้) และพันธุ์ที่เป็นดอกสีขาว (พบมากทางภาคกลางและภาคตะวันออก)
    สมุนไพรเหงือกปลาหมอ เป็นพรรณไม้ที่ขึ้นชื่อของจังหวัดสมุทรปราการ และเป็นมักขึ้นตามบริเวณชายฝรั่งแม่น้ำลำคลอง เช่น บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝรั่งตะวันออกเหนือปากคลองมหาวงษ์ และที่โรงเรียนนายเรือ เป็นต้น
    ประโยชน์ของเหงือกปลาหมอ สมุนไพรใกล้ตัวหรืออาจจะเรียกว่าเป็นสมุนไพรชายน้ำหรือชายเลนก็ได้ ซึ่งสามารถนำสรรพคุณทางยามาใช้ในการรักษาโรคได้มากมายหลายชนิด ที่โดดเด่นมากก็คือการนำมารักษาโรคผิวหนังเกือบทุกชนิด แก้น้ำเหลืองเสีย และการนำมาใช้รักษาริดสีดวงทวาร เป็นต้น โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพรก็ได้แช่ ส่วนลำต้นทั้งสดและแห้ง ใบทั้งสดและแห้ง ราก เมล็ด และทั้งต้น (ส่วนทั้ง 5 ประกอบไปด้วย ต้น ราก ใบ ผล เมล็ด)

    ลักษณะของเหงือกปลาหมอ

    • ต้นเหงือกปลาหมอ เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง มีความสูงประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นแข็งมีหนามอยู่ตามข้อของลำต้น ข้อละ 4 หนาม ลำต้นกลม กลวง ตั้งตรง มีสีขาวอมเขียว ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5 เซนติเมตร เป็นพรรณไม้ที่มักขึ้นกลางแจ้ง เจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มและในที่ๆ มีความชื้นสูง ชอบขึ้นตามชายน้ำ หรือบริเวณริมฝั่งคลองบริเวณปากแม่น้ำ และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเมล็ดและการใช้กิ่งปักชำ
    ต้นเหงือกปลาหมอ
    • ใบเหงือกปลาหมอ ใบเป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบมีหนามคมอยู่ริมขอบใบและปลายใบ ขอบใบเว้าเป็นระยะๆ ผิวใบเรียบเป็นมันลื่น แผ่นใบสีเขียว เส้นใบสีขาว มีเหลือบสีขาวเป็นแนวก้างปลา เนื้อใบแข็งและเหนียว ใบกว้างประมาณ 4-7 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ใบจะออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ก้านใบสั้น
    ใบเหงือกปลาหมอ
    • ผลเหงือกปลาหมอ ลักษณะของผลเป็นฝักสีน้ำตาล ลักษณะของฝักเป็นทรงกระบอกหรือรูปไข่หรือกลมรี ยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร เปลือกฝักมีสีน้ำตาล ปลายฝักป้าน ข้างในมีฝักมีเมล็ด 4 เมล็ด
    • ดอกเหงือกปลาหมอ ออกดอกเป็นช่อตั้งตามปลายยอด ยาวประมาณ 4-6 นิ้ว ดอกมีทั้งพันธุ์ดอกสีม่วง (หรือสีฟ้า) และพันธุ์ดอกสีขาว ที่ดอกมีกลีบรองดอกมี 4 กลีบ กลีบแยกจากกัน บริเวณกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่
    ดอกเหงือกปลาหมอ

    สรรพคุณของเหงือกปลาหมอ

    1. สมุนไพรต้นเหงือกปลาหมอ ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้อายุยืน ร่างกายแข็งแรง เลือดลมไหลเวียนดี เส้นเลือดไม่อุดตัน บำรุงผิวพรรณ ด้วยการใช้ทั้งต้นเหงือกปลาหมอนำมาตำผสมกับพริกไทย ในอัตราส่วน 2:1 แล้วคลุกเคล้าผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นยาลูกกลอน ว่ากันว่าหากรับประทานติดต่อกัน 1 เดือน จะทำให้ปัญญาดี ไม่มีโรค / 2เดือน ผิวหนังเต่งตึง / 3 เดือน ทำให้ริดสีดวงหาย / 4 เดือน ช่วยแก้ลม 12 จำพวก หูไว / 5 เดือน หมดโรค / 6 เดือน ทำให้เดินไม่รู้จักเหนื่อย / 7 เดือนผิวสวย / 8 เดือน เสียงเพราะ / 9 เดือน หนังเหนียว (ทั้งต้น,ราก)
    2. เหงือกปลาหมอ สรรพคุณช่วยบำรุงประสาท (ราก)
    3. ช่วยรักษาอาการธาตุไม่ปกติ (ทั้งต้น)
    4. ช่วยทำให้เลือดลมเป็นปกติ (ทั้งต้น)เหงือกปลาหมอขาว
    5. ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ทั้งต้น)
    6. ช่วยแก้โรคกระษัย อาการซูบผอมเหลืองทั้งตัว ด้วยการใช้ทั้งต้นของเหงือกปากหมอนำมาตำเป็นผงกินทุกวัน (ต้น)
    7. ช่วยแก้อาการร้อนทั้งตัว เจ็บระบบทั้งตัว ตัวแห้ง เวียนศีรษะ หน้ามืดตามัว มือตายตีนตาย ด้วยการใช้ทั้งต้นของเหงือกปลาหมอ และเปลือกมะรุม อย่างละเท่ากัน ใส่หม้อต้ม ผสมกับเกลือเล็กน้อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ แล้วใช้ฟืน 30 ดุ้น ต้มกับน้ำเดือดจนงวดแล้วยกลง เมื่อเสร็จให้กลั้นใจกินขณะอุ่นๆจนหมด อาการก็จะดีขึ้น (ทั้งต้น)
    8. ช่วยยับยั้งมะเร็ง ต้านมะเร็ง (ทั้งต้น)
    9. ช่วยรักษาอาการปอดอักเสบ ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอทั้งต้น และข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ ในสัดส่วนที่เท่ากัน นำมาต้มกับน้ำจนเดือดแล้วนำมาดื่มในขณะอุ่นๆ ครั้งละ 1 แก้ว เช้า กลางวัน เย็น อาการจะดีขึ้น (ทั้งต้น)
    10. รักษาปอดบวม ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ใบ)
    11. ต้นมีรสเค็มกร่อย สรรพคุณช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (ต้น)
    12. รากช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ หรือจะใช้เมล็ดนำมาต้มดื่มแก้อาการไอก็ได้เช่นกัน (ราก,เมล็ด)
    13. ช่วยแก้หืดหอบ (ราก)
    14. สรรพคุณต้นเหงือกปลาหมอ ช่วยรักษาวัณโรค ด้วยการใช้ต้นนำมาตำผสมเป็นน้ำดื่ม (ต้น)
    15. ช่วยแก้อาการเจ็บตา ตาแดง ด้วยการใช้เหงือกปลาหมอทั้งต้นนำมาตำผสมกับขิง คั้นเอาแต่น้ำใช้หยอดตาแก้อาการ (ทั้งต้น)
    16. สรรพคุณ เหงือกปลาหมอใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
    17. ช่วยแก้ไข้จับสั่น ด้วยการใช้ทั้งต้นเหงือกปลามานำมาตำผสมกับขิง (ทั้งต้น)
    18. ช่วยแก้พิษไข้หัว ด้วยการใช้ทั้งต้นรวมรากนำมาต้มอาบแก้อาการ (ทั้งต้น)
    19. แก้อาการไอ เมล็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วเอาแต่น้ำมากินเป็นยาแก้ไอ (เมล็ด)
    20. ช่วยขับเสมหะ (ราก)
    21. ถ้าเป็นลม ให้ใช้ต้นเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน ผสมรวมกันตำให้ละเอียดเป็นผงแล้วนำมาละลายน้ำร้อนดื่ม (ต้น)
    22. ช่วยแก้โรคกระเพาะ ด้วยการใช้ทั้งต้น และพริกไทย (10:5 ส่วน) ตำผสมปั้นเป็นยาลูกกลอน (ทั้งต้น)
    23. ช่วยขับพยาธิ (เมล็ด)
    24. ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ต้นเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อย นำมาตำละลายกับน้ำแล้วทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือจะใช้ปรุงกับฟ้าทะลายโจร ใช้รมหัวริดสีดวงก็ได้ (ต้น,ใบ)
    25. ช่วยขับปัสสาวะ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
    26. ช่วยรักษามุตกิดระดูขาว ตกขาวของสตรี ด้วยการใช้ใบและต้น นำตำเป็นผงผสมกับน้ำผึ้ง หรือน้ำมันมันงา ปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทานแก้อาการ (ต้น,ใบ,ราก)
    27. ช่วยแก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติของสตรี ด้วยการใช้ทั้งต้นนำมาตำผสมกับน้ำผึ้ง น้ำมันงา (ทั้งต้น)
    28. ช่วยรักษานิ่วในไต ด้วยการใช้ใบนำมาต้มเป็นน้ำดื่ม (ใบ)
    29. ช่วยแก้ไตพิการ ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
    30. ผลช่วยขับโลหิต หรือจะเมล็ดใช้ผสมกับดอกมะเฟือง เปลือกอบเชย น้ำตาลกรวด นำมาต้มรวมกันแล้วเอาแต่น้ำมากิน หรือใช้ต้น 10 ส่วนและพริกไทย 5 ส่วน ผสมทำเป็นยาลูกกลอนกินก็ได้ (เมล็ด,ผล,ทั้งต้น)
    31. ช่วยฟอกโลหิต ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
    32. แก้พิษเลือด ข้อมูลนี้ยังไม่น่าเชื่อถือ* (เปลือกต้น)
    33. ช่วยสมานแผล ด้วยการใช้ทั้งต้นนำมาตำผสมกับหัวสามสิบ ในอัตราส่วน 2:1 (ทั้งต้น)
    34. ต้นเหงือกปลาหมอ สรรพคุณช่วยรักษาแผลพุพอง (ต้น)
    35. ใบ มีรสเค็มกร่อยร้อย สรรพคุณช่วยรักษาแผลอักเสบ (ใบ)
    36. ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ด้วยการใช้ต้น 3-4 ต้น นำมาหั่นเป็นชิ้น แล้วต้มน้ำอาบแก้อาการ (ต้น,ใบ,เมล็ด)
    37. สำหรับผู้ป่วยเอดส์ที่มีแผลพุพองตามผิวหนัง หากใช้ต้นมาต้มอาบและทำเป็นยากินติดต่อกันประมาณ 3 เดือนจะช่วยทำให้อาการของแผลพุพองบรรเทาลงอย่างชัดเจน (ต้น)
    38. ช่วยรักษาโรคผิวหนัง หรือประดง รักษากลากเกลื้อน อีสุกอีใส (ใบ)
    39. ช่วยรักษาโรคเรื้อน คุดทะราด ด้วยการใช้ทั้งต้นนำมาตำเอาแต่น้ำกิน (ทั้งต้น)
    40. ช่วยแก้ผดผื่นคันตามร่างกาย ใช้ล้างแผลเรื้อรัง ด้วยการใช้ต้นสดและใบสดล้างสะอาดประมาณ 3-4 กำมือ นำมาสับแล้วต้มกับน้ำอาบแก้ผื่นคันติดต่อกัน 3-4 ครั้ง (ต้น,ใบ)
    41. เหงือกปลาหมอ สรรพคุณทางยาช่วยแก้ลมพิษ (ต้น)
    42. รากสดนำมาต้มเอาแต่น้ำดื่มใช้เป็นยารักษาโรคงูสวัดได้ (ราก)
    43. ช่วยรักษาฝี ฝีเรื้อรัง แผลฝีหนอง ฝีดาษ ตัดรากฝี แก้พิษฝีทุกชนิดทั้งภายในภายนอก ด้วยการใช้ต้นและใบทั้งสดและแห้งประมาณ 1 กำมือ นำมาบดให้ละเอียด แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็นฝี หรือวิธีที่สองจะนำมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่น้ำให้ท่วมแล้วต้มในน้ำเดือดทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วนำมาดื่มก่อนอาหารครั้งละ ครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง ประมาณ 2-3 อาทิตย์ หรือจะใช้เมล็ดนำมาคั่วให้เกรียว แล้วป่นให้ละเอียดชงกับน้ำกินเป็นยาแก้ฝีก็ได้ (ต้น,ใบ,เมล็ด)
    44. เมล็ดใช้ปิดพอกฝี (เมล็ด)
    45. ผลมีรสเผ็ดร้อน สรรพคุณช่วยถอนพิษ (ผล,ต้น)
    46. ใบสดนำมาตำให้ละเอียด สามารถใช้พอกบริเวณแผลที่ถูกงูกัดได้ (ใบ)
    47. ช่วยแก้ผิวแตกทั้งตัว ด้วยการใช้ทั้งต้นของเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน / ดีปลี 1 ส่วน ใช้ผสมกันบดให้เป็นผงชงกับร้อนดื่มแก้อาการ (ทั้งต้น)
    48. ต้น ถ้านำมาใช้จะช่วยแก้โรคเหน็บชา อาการชาทั้งตัวได้ (ต้น)
    49. รากสรรพคุณช่วยแก้อัมพาต (ราก)
    50. แก้อาการเจ็บหลังเจ็บเอว ด้วยการใช้ต้นกับชะเอมเทศนำมาบดเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนกิน (ต้น)
    51. ใบใช้เป็นยาประคบแก้ไขข้ออักเสบ และแก้อาการปวดต่างๆ (ใบ)
    52. ช่วยบำรุงรากผม ด้วยการใช้น้ำคั้นจากใบนำมาทาให้ทั่วศีรษะ จะช่วยบำรุงรากผมได้ (ใบ)
    สมุนไพรเหงือกปลาหมอ

    ประโยชน์ของเหงือกปลาหมอ

    1. ประโยชน์เหงือกปลาหมอ ในปัจจุบันสมุนไพรเหงือกปลาหมอมีการนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นยาแคปซูลสมุนไพร (เหงือกปลาหมอแคปซูล) หรือเป็นยาชงสมุนไพร (เหงือกปลาหมอผงสำเร็จรูป) หรือในรูปแบบของยาเม็ด
    2. การใช้เป็นยาสมุนไพรที่ใช้ในการอบตัวหรืออบด้วยไอน้ำสมุนไพรเหงือกปลาหมอยังใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สบู่ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการเปลี่ยนสีผม จนกระทั่งแชมพูของสุนัข เป็นต้น
    แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, หนังสือพิมพ์บ้านเมือง (ชำนาญ หิมะคุณ), หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4, ฐานข้อมูลพันธุ์ไม้ องค์การส่วนพฤกษศาสตร์, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), หนังสือยอดสมุนไพรยาอายุวัฒนะ (อาจารย์ยุวดี จอมพิทักษ์), หนังสือกายบริหารแกว่งแขน (โชคชัย ปัญจทรัพย์)
    ภาพประกอบ : เว็บไซต์ phargarden.com (by Sudarat Homhual), เว็บไซต์ buriramtime.com

    เรียงเรียบข้อมูลโดย กรีนเนอรัลด์ ดอทคอม
    



    วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

    หญ้าดอกขาว


     
    มหัศจรรย์สมุนไพรไทย"หญ้าดอกขาว" ช่วยลดบุหรี่
     
     ชื่ออื่น - หญ้าสามวัน ก้านธูป ถั่วแฮะดิน ฝรั่งหญ้าละออง หญ้าหมอน้อย หนวดหนา หญ้าหญ้าเหล่าฮก หญ้าเหนียมช้าง เซี่ยวไซ(จีน)
    ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกจำพวกหญ้า มีขึ้นกระจายทั่วไปตามที่รกร้างข้างทาง ข้างบ้าน ทุกภาคของประเทศไทยซึ่งคนส่วนใหญ่จะพบเห็นเป็นประจำ แต่ไม่ทราบว่าเป็นต้นอะไรคิดว่าเป็นต้นหญ้าที่หาประโยชน์ไม่ได้..แต่ประโยชน์เยอะมาก
    ต้น ลำต้นตั้งตรงเป็นสัน มีขน สูง 1 ฟุต ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับเป็นรูปไข่กลับหรือคล้ายต้นพริกมีขนละเอียดทั้ง 2 ด้านดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนงช่อที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อประกอบด้ วยดอกย่อยจำนวนมากเมื่อดอกบาน ดอกจะเป็น สีม่วงสด กลีบดอกเป็นฝอยๆ เป็นกระจุกคล้ายดอกดาวเรืองแต่มีขนาดเล็กกว่ามากเวลาดอกบานพร้อมๆกันจะสวยมากมาก
    พอดอกแก่จะกลายเป็นสีขาว เบาคล้ายปุยนุ่น มีผลแห้งเล็กๆ มี 4 - 5 อัน ติดอยู่ หลุดร่วงง่ายเมื่อลมพัด จะปลิวกระจายไปทั่ว เมื่อไปตกดินบริเวณไหนจะแพร่ขยายพันธุ์เองตามธรรมชาติ ดอกมีรสขมและมีกลิ่นฉุนเล็กน้อย รากมีรสขมสรรพคุณ ใช้ทั้งต้นต้มรับประทาน แก้ปวดท้องท้องขึ้น ท้องเฟ้อ ใบสด ตำให้ละเอียด ปิดสมานแผล ทำให้เย็นหรือผสมกับน้ำนมคน กรองเอาแต่น้ำ หยอดตา แก้ตาแดง ตาฝ้า ตาเปียก ตาแฉะ แพทย์จีน ใช้ทั้งต้นตำพอกนม แก้นมคัด นมหลง แก้บวม และดูดหนอง
    ส่วนภาคเหนือใช้ทั้งต้นและราก ตากแห้งบดเป็นผง รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง ผิวหนังพุพอง ห้ามเลือด ตำรายาไทยใช้ทั้งต้น แก้ไข้ แก้ไอ ดีซ่าน ปัสสาวะรดที่นอน ใบสด แก้กลากเกลื้อน เรื้อนกวาง ได้ดีมาก ยาพื้นบ้านใช้ทั้ง 5 (รวมราก) 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 4 ถ้วย ดื่มแก้ตกเลือด บำรุงเลือด ลดอาการปวด ลดความดัน
    หญ้าดอกขาวมาผลิตเป็นชาสมุนไพรชงดื่ม เพื่อลดอาการอยากบุหรี่ของคนที่ติดบุหรี่ โดยการใช้ชาชงสมุนไพรหญ้าดอกขาว 1 ซอง ละลายน้ำ1แก้วดื่มวันละ3ครั้ง หลังอาหาร รับประทานวิตามินซี (100 มิลิกรัม) 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร และใช้น้ำยาอมบ้วน ปากเวลาที่มีอาการอยากบุหรี่ ใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน พบว่าได้ผลดี

    เนื่องจากสมุนไพรหญ้าดอกขาวมีสารไนเตรต ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ประสาทรับรสบริเวณลิ้นรู้สึกชา ทำให้ผู้ที่บริโภคเข้าไป ไม่รับรู้รสชาติใดๆ จึงรู้สึกไม่อยากบุหรี่ เนื่องจากหญ้าดอกขาวเป็นกลุ่มที่มีโปแตสเซียมสูง การใช้ควรระวังในรายที่มีประวัติโรคหัวใจ สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น อาจมีอาการคอแห้ง ปากแห้ง

    ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : หนังสือความสวยงามที่มาพร้อมความสุขภาพดี